Jul 7, 2008

รับน้องขึ้นดอย

เป็นธรรมเนียมกันไปแล้วกับงานรับน้องขึ้นดอยที่มหา'ลัยเชียงใหม่จัดขึ้นทุกปี และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมอย่างเต็มตัว กับระยะทาง 17 กิโลเมตรเบื้องหน้าที่รอผมอยู่
วันศุกร์ตอนเย็นๆ หลังจากรับเสื้อผ้าที่ต้องใส่ขึ้นดอยในวันถัดไปแล้ว (ก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่ๆ ถึงได้แจกแบบไม่ให้ได้ซักทุกที หรือเค้ากลัวว่าเสื้อจะหายก่อนถึงเวลาจริงเนี่ย?) เบน (ขอให้จินตนาการถึงปลากระเบนตัวดำๆ ที่อาศัยใต้ทะเลลึก พูดภาษาจาเหนือในสำเนียงเหน่อใต้ และมีความเบี่ยงเบนในจิตใจอย่างมากมายมหาศาล - เฮ้ยไอ่เบน อย่าโกรธกันนะเฟ้ย ข้าพูดแต่ความจริงทั้งนั้นแหละ อิอิ) ก็ได้ชวนผมให้นอนที่ห้องชมรมหมากล้อม แต่ถ้าผมนอนกะมันสองต่อสองจะเกิดอะไรบ้างก็มิอาจรู้ได้ จึงต้องชวนเพื่อนๆ ในชมรมให้อยู่ค้างด้วยกัน (ไม่งั้นไม่ปลอดภัย) แต่ก่อนหน้าที่จะไปค้างชมรมนั้น ก็เป็นเวลาตระเวนส่งผู้หญิงกลับหอ สำหรับฮันนี่ (แฟนขลุ่ย) ก็ถูกส่งกลับหอ 4.5 (พอดีจำไม่ได้ว่าหอไหน เลยเอา 1+8 แล้วหาร 2 อะ ^^") อย่างเรียบร้อยปลอดภัยสวัสดิภาพ (โดยมีการร่ำลาที่เสียเวลาอย่างไม่น่าเชื่อด้วย) แล้วก็ออกไปส่งฝ้ายผู้ซึ่งไม่ได้อยู่หอในอันปิดสี่ทุ่มตอนสี่ทุ่มพอดี (ประโยคปราบเซียน ใครอ่านแล้วไม่งงมั่ง 555+) เสร็จแล้วก็กลับมาอาบน้ำหอชายและออกไปค้างที่ห้องชมรมกีฬาในร่มกัน
พอไปถึงชมรมตอนเที่ยงคืนเพราะผิดแผนเนื่องจากไปส่งผู้หญิงนาน ก็เลยตกลงกันได้ว่าจะไม่นอนเพราะพี่นัดตอนตีสาม เลยนั่งเล่นโกะกับเบนและฮ่องเต้ฆ่าเวลาไปครึ่งชั่วยาม แล้วพวกนั้นก็นั่งเล่น Risk กันต่อโดยเราขอตัวไปอ่านหนังสือ (ที่จริงแล้วไม่อยากเล่น เพราะไซโคสนุกกว่า) พอผ่านไปได้ 20 นาทีเราเลยเข้าไปถือหางช่วยแก๊ป หลังจากไซโคได้ที่แล้วก็ชิ่งหนีมาดูอาณาจักรอื่นล่มสลาย แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเผด็จศึกได้ในทันที โชคยังดีที่ไม่โดนตีกลับและช่วงชิงชัยชนะมาได้ พอเกมจบก็หมดเวลาแล้วต้องไปเข้าแถวเตรียมตัว แต่ไหงถึงไปสายได้ก็ไม่รู้สินะ...
พอจัดแถวผู้ชายเสร็จก็เดินไปรับผู้หญิงตามหอต่างๆ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เหนื่อยหยั่งนี้นะ รับเสร็จหมดก็ไปต่อที่ศาลาธรรม แล้วก็นั่งกินข้าวเช้าอันได้แก่กะเพรา เฮ้อ... ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีโรคไม่อยากกินเผ็ดก็ไม่หาย สุดท้ายก็จำใจกินเข้าไปจนหมด แล้วก็หลับรอเวลาขึ้นดอยเพราะไม่ได้หลับมาทั้งคืน แต่แล้วอยู่ๆ ท้องก็ปวดอย่างรุนแรงขึ้นมา (effect จากกะเพรางั้นหรือนี่!) เลยรีบวิ่งไปหาห้องน้ำหลังศาลาธรรม แต่โอโหแม่เจ้า คนมากมายมหาศาลรอกันเป็นวันเลยมั้งนั่นกว่าจะได้เข้า จึงต้องจำใจวิ่งกลับไปอมช. (ชั้นบนของห้องชมรม) เพื่อเข้าห้องน้ำ!! ระยะทางก็ประมาณกิโลกว่าๆ เห็นจะได้ แต่ตอนนั้นขามันสั่งให้วิ่งไปอย่างเดียวแล้วอะ ผลปรากฏว่าท้องเสียอย่างหนัก (ขอสงนคำบรรยายเชิงลึกบนหน้าเว็บไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ) กลับมาเลยซัดน้ำเกลือไป 1 ขวด โชคดีที่ไม่เป็นไรมากเลยขึ้นดอยไหวอยู่ (เดินไปกับแถวพยาบาลพอไหว ไม่ถึงขั้นต้องพึ่งรถพยาบาลไปแฮะ)
และแล้วระยะทางสุดโหดอันแสนยาวนานก็ได้เริ่มขึ้น ช่วงเช้านั้นตอนที่ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางอยู่ๆ แรงก็หมด (แน่หละสิ น้ำเกลือขวดเดียวจะไปพอได้ไง) แต่จะออกจากแถวตอนนั้นก็ไม่ได้อีกเพราะวิท'ลัยสื่อจะแซงพอดี พี่ๆ เลยสั่งวิ่งห้ามโดนแซง โอโหแรงฮึดมาจากไหนไม่รู้ วิ่งไปอย่างไร้สติจนแถวหยุด รู้ตัวอีกทีก็เดินแทบไม่ได้เอาซะแล้ว โชคยังดีที่ร้อยเมตรหน้าเป็นจุดพักกินอาหารพอดี เลยซัดน้ำอัดลมกระป๋องไปสองพร้อมกับสปอนเซอร์อีกหนึ่ง นั่งพักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มหายดี ทีนี้ห้ากิโลสุดท้ายเลยได้เดินในแถวปรกติ แล้วเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นที่สองกิโลเมตรก่อนถึงพระธาตุ คือสตาปวิ่งที่ไม่ยอมให้พวกเรายิ้มซักนิดกลับปล่อยมุกฝืด แป๊ก ควายอย่าง "เดินดีๆ ระวังสะดุดหัวใจพี่นะน้อง" ออกมาซะงั้น!!! สงสัยเพราะเพราะใกล้ถึงยอดดอยเลยมีปล่อยให้น้องหัวเราะมั่งซะงั้น แต่ก็ดีแล้วเพราะบรรยากาศที่เครียด มึน เหนื่อยก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง และแล้วโค้งสปีริตก็มาอยู่เบื้องหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว โค้งนี้กะประมาณจากสายตาแล้วคงได้ซัก 300-500 เมตรได้ แถมทางขึ้นเขายังชันเป็นว่าเล่นอีก แต่ถ้าเทียบๆ ดูกับรด.ที่เคยผ่านมาแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรยาก แล้วทำไมคนทั้งหลายถึงได้กลัวกันนักหนาหละ คำตอบก็ง่ายๆ คือขึ้นไปคนเดียวไม่ได้ เพื่อนรอบกายที่อยู่เคียงข้างต้องขึ้นไปด้วยกันให้หมด แล้วผู้หญิงส่วนมากก็มักจะขึ้นไม่ไหวต้องให้ผู้ชายอย่างพวกเราช่วยดึงขึ้นไปยังไงหละ นับว่าเป็นโชคดีอย่างมากมายมหาศาลที่คณะวิทย์ไม่มีผู้หญิงตัวโตเลย ทำให้พวกเราสามารถผ่านโค้งสุดโหดนี้มาได้พร้อมกันในที่สุด
หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็หันไปเห็นคุณชายวินและคุณหญิงอ้อมนั่งเคียงคู่กันอยู่ ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเลื่อนขั้นจากเพื่อนไปเป็นอีกระดับหนึ่งแล้ว ยังไงก็ขอให้โชคดีละกันเน้อ ^^ พอรวมกลุ่มเพื่อนได้เสร็จก็เดินขึ้นไปไหว้พระธาตุกัน อึ่ม... 17 กิโลที่ตอนเช้าที่เกือบเป็นลมล้มพับไปรอบนึง กับตอนบ่ายที่ต้องฉุดผู้หญิงผ่านโค้งสปีริต แต่สุดท้ายก็ไปไหวตลอดรอดฝั่งปรกติไม่เป็นอะไร (แค่เหนื่อยมากๆ เอง) แต่ไหงบันไดขั้นที่ 197 ถึงได้เจ็บเพราะตระคิวกินก็ไม่รู้ T_T สงสัยว่าแรงหมดพอดีหละมั้ง พอไปถึงพระธาตุเลยต้องนั่งพักซักหน่อยก่อนแล้วค่อยเข้าไปไหว้พระ เสียดายที่เวลาหมดอดชมวิวจากยอยดอยเลย แต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็จะกลับมาขึ้นด้วยด้วยกันอีกครั้ง สัญญากันแล้วนะ ส่วนตอนนี้ก็คงต้องขอลาแล้วหละ แล้วพบกันใหม่เมื่อถึงเวลานั้นอีก ราตรีสวัสดิ์

2 comments:

  1. ตอนลงจากดอย ก็คงกลิ้งลงมากันใช่ไหม อิอิ...
    ล้อเล่นนะครับ

    ReplyDelete
  2. แล้วก็ออกไปส่งฝ้ายผู้ซึ่งไม่ได้อยู่หอในอันปิดสี่ทุ่มตอนสี่ทุ่มพอดี (ประโยคปราบเซียน ใครอ่านแล้วไม่งงมั่ง 555+)

    ==> ประโยคคณิตศาสตร์น่างงกว่านี้เป็นอนันต์เท่า

    ReplyDelete