Sep 21, 2008

อดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ & อนาคตที่ไม่มีวันมาถึง

6 ตุลาคม 2546
พอมาถึงค่ายวันแรกก็โดนแกล้งเลย โดยพี่ๆ ให้แนะนำตัวกันตามปรกติ แล้วก็สุ่มผู้โชคดีออกไปพูดชื่อเพื่อนใหม่ 3 คน แหม... ถ้าโดนสุ่มไปคนแรกก็คงง่ายอยู่หรอก เพื่อนโรงเรียนเราเองก็ 4 คนแล้ว ยิ่งคนน่ารักๆ อีก 5-6 คนนั้นก็จำชื่อไม่ยาก แต่แจ๊คพ๊อตก็ลงเพราะโดนสุ่มเป็นคนสุดท้าย แถมเงื่อนไขที่ว่าห้ามซ้ำชื่อคนที่เคยบอกไป เฮ้ย แล้วมันจะเหลือใครให้ข้าพเจ้าพูดถึงหละ สุดท้ายก็หันไปมองแถวหลัง แล้วก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยการบอกชื่อพี่ค่ายไป แหม รอดตัวอย่างหวุดหวิด

Sep 6, 2008

เรื่องสั้นแนวลองทด จำนวนเต็มระหว่าง e และ π

หมายเหตุ: สามารถนำโครงเรื่องไปใช้ต่อได้ตามสะดวกนะครับ

Story:
เครื่องย้อนเวลาได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นแล้ว แต่มันไม่ได้มีวิธีใช้อย่างในนิยายวิทยาศาสตร์ทั่วไป กล่าวคือ มีแต่เวลาเท่านั้นที่ย้อยกลับไป มวลสารพลังงานต่างๆ รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดจะไม่ถูกย้อนไปด้วย
แต่ถึงแม้จะไม่สามารถนำอะไรก็ตามไปพร้อมกับเวลาที่ย้อนกลับได้ ก็ไม่จำเป็นว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็สามารถกระเทือนไปถึงระดับอภิมหายักษ์ได้
นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างมันขึ้นมารู้ถึงข้อนี้ดี จนวันหนึ่ง ได้เกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียระเบิดขึ้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย รวมไปทั้งครอบครัวของเขาด้วย เขาจึงต้องการย้อนเวลากลับไป เผื่อว่า บางที อาจจะมีเหตุการณ์เล็กน้อยๆ ที่ไม่อาจคาดเดา มาช่วยทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้ ขึ้นอยู่กับว่า จักรวาลนี้ถูกกำหนดตายตัวไว้ตั้งแต่บิ๊กแบงแล้วหรือเปล่า?

My Comment:
1. ย่อหน้าสุดท้ายตัดทิ้งไปถ้าจะเอาแต่แนวคิดวิทยาศาสตร์เพียวๆ ซึ่งไอ่การย้อนเวลาแบบนี้มันไม่ได้ยากอะไรเลย ถ้าเรารู้จักกับเวลาในรูปแบบของมิติดีพอ มันก็จะเหมือนกับการเดินข้ามถนนนี่แหละ ปัญหามันอยู่ที่ว่า ย้อนแล้วได้อะไร ในเมื่อไม่สามารถจำอะไรที่เกิดขึ้นได้เลย นี่จึงไม่ใช่การย้อนเวลาแบบแฟนตาซีซะแล้วหละสิ
2. ถ้าอยากรู้ว่าอาการของคนที่ย้อนเวลาด้วยวิธีนี้เป็นอย่างไร (ไม่ต้องห่วง เดินเครื่องครั้งนึงก็เป็นกันทุกคนในจักรวาลนี้แน่ๆ) คือ ไปผ่าสมองออกมาดู แล้วทำให้ส่วนฮิปโปแคมปัสเจ๊งไป ทีนี้ หลังจากที่สมองส่วนนั้นพังแล้ว การบันทึกควมรู้ต่างๆ เพิ่มลงไปในความจำระยะยาวก็จะหยุดลง กลายเป็นคนอัลไซเมอร์ประมาณนั้น
3. ที่จริง เรื่องนี้ไม่ได้กะจะเขียนเป็นพล๊อตเรื่องสั้นเลย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ จับมันยัดมั่วไปมั่วมายังไงก็ไม่รู้ กลายเป็นเรื่องสั้นเชอร์โนบิลไปซะได้ ^^" ...เอาเป็นว่า เรื่องสั้นตอนนี้อ่านจับใจความสองย่อหน้าแรกก็พอเนาะ

อธิบายชื่อตอน "จำนวนเต็มระหว่าง e และ π"
π คือค่าคงตัวทางคณิตศาสตร์ที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่ประถม นิยามจากอัตราส่วนระหว่างความยาวรอบรูปวงกลมต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของมันเอง มีค่าประมาณ 3.14159 26535 89793 23846...
e คือค่าคงตัวทางคณิตศาสตร์ที่พึ่งโผล่มาให้เรารู้จักกันตอนมัธยมปลาย เป็นเลขลอการิทึมฐานธรรมชาติ คือเอามันไปยกกำลังได้สะดวกสุด มีค่าประมาณ 2.71828 18284 59045 23536...
เลขจำนวนเต็ม... คงไม่ต้องอธิบายแล้วเนาะ ^^"

แอบบ่น: เซ็งจริงๆ คีย์บอร์ดดันอาการไม่ค่อยดี พิมพ์อักษรบางตัวไม่ค่อยได้ ทรมานมากมายดั่งเสียแขนขวาไปข้าง T_T

Aug 11, 2008

เรื่องสั้นแนวลองทด จำนวนเฉพาะตัวแรก

หมายเหตุ: สามารถนำโครงเรื่องไปใช้ต่อได้ตามสะดวกนะครับ

ให้ตายเถอะ... ทำไมแนวคิดดีๆ บ้าบอๆ มันถึงได้ชอบผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดในเวลาที่เราไม่ค่อยต้องการมันนักนะ? อย่างเรื่องนี้ก็คิดได้ตอนติวหนังสือเตรียมสอบซะงั้น กลายเป็นว่าอ่านหนังสือไม่เข้าหัวซะเลย T_T

Story:
ในโลกอนาคตอีก 3000 ปีข้างหน้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปมากจนเราสามารถเดินทางได้ใกล้ความเร็วแสงแล้ว แต่คำถามที่มีผู้คนสงสัยมากที่สุดว่า "ชีวิตเริ่มต้นอย่างไร" ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งจึงได้สร้างยานอวกาศขึ้นเพื่อเดินทางไปสำรวจดาวต่างๆ เผื่ออาจจะพบการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต แต่หลังจากหาไปเป็นเวลานานก็ไม่พบซักที จึงได้ทำการทดลองที่ดาวดวงหนึ่งโดยเตรียมสภาพดาวดวงนั้นให้คล้ายโลกยุคแรกมากที่สุด เนื่องจากพวกเค้าไม่มีเวลาที่จะเฝ้าดูผลการทดลองที่ยาวนานเป็นพันล้านปีนี้ จึงได้ทำการย้ายดาวทดลองไปเรื่อยๆ จนเมื่อทดลองบนดาวเคราะห์หมดทั้งทางช้างเผือก พวกเค้าก็หันยานกลับไปหาที่ดาวต่างๆ ที่ได้ทำการทดลองไว้ เผื่อว่าจะหาดวงดาวที่เหมาะสมและให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ซักวัน...

My Comment:
1. คิดไปคิดมา มันก็คล้ายๆ กับพล๊อตเรื่อง "คำถามสุดท้าย" ของไอแซค อสิมอฟเลยเนาะ ^^" เพียงแต่อันนี้เน้นไปที่กำเนิดของสิ่งมีชีวิตมากกว่าภาพกำเนิดของจักรวาลเท่านั้นเอง
2. อีกอย่างที่ไม่เหมือนเลยก็คือ เรื่องนี้ได้นำแนวคิด "ปริศนาฝาแฝดพิศวง" (Twin Paradox) มาใช้ โดยนักวิทยาศาตร์ที่เดินทางด้วยความเร่งนั้น นาฬิกาของพวกจะเดินช้ากว่านาฬิกาที่ไม่มีความเร่ง (พูดให้ง่ายคือแก่ช้าลง) จึงเสมือนว่าพวกเค้าสามารถเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลที่ยาวนานหลายล้านปีได้ครับ
3. พล๊อตแรกที่วางไว้จะเล่าประมาณว่า มนุษย์ต่างดาวเดินทางกลับมาพบมนุษย์โลก แล้วพวกเค้าก็เล่าเรื่องราวว่าเป็นผู้ที่ (ทดลอง) สร้างพวกเราขึ้นมาต่างหาก!
4. หลังจากที่ฉีกพล๊อตแรกทิ้งแล้วเลือกว่าจะให้เป็นมนุษย์เนี่ยแหละ ที่เป็นผู้ทำการทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตเสียเอง ก็แต่งเพิ่มอีกว่าเกิดสงครามบนโลกผู้คนล้มตายไปเกือบหมด เหลือคนอยู่กลุ่มเล็กๆ พอที่จะบรรจุเข้ายานลำสองลำได้เท่านั้น แต่คิดไปคิดมาแล้วเดี๋ยวหนักหัว+มีประเด็นเยอะเกิน เลยตัดทอนออกให้เหลือแค่ใจความสำคัญเท่าที่เห็นนี่หละครับ

อธิบายชื่อตอน "จำนวนเฉพาะตัวแรก"
เลขจำนวนเฉพาะ ไม่ต้องอธิบายมากก็น่าจะเข้าใจตรงกันนะครับ ^^"
เอาหน่อยหรอ? กลัวว่าคนที่ไม่ได้เรียนคณิตมาจะอ่านไม่รู้เรื่องหรอ? เอ้า! ก็ได้ๆ อธิบายย่อๆ นะครับ
เลขจำนวนเฉพาะคือ เลขที่ไม่สามารถหารด้วยเลขจำนวนเต็มบวกอื่นใด นอกจากเลข 1 และตัวมันเองครับ เพราะฉะนั้น เลข 1 จึงไม่ใช่จำนวนเฉพาะ (แต่เมื่อร้อยปีก่อนก็มีการถกกันเรื่องเลข 1 คือจำนวนเฉพาะหรือไม่) ทำให้เลข 2 เป็นเลขตัวแรกของระบบจำนวนเฉพาะไปโดยปริยายเลยครับ

Jul 7, 2008

รับน้องขึ้นดอย

เป็นธรรมเนียมกันไปแล้วกับงานรับน้องขึ้นดอยที่มหา'ลัยเชียงใหม่จัดขึ้นทุกปี และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมอย่างเต็มตัว กับระยะทาง 17 กิโลเมตรเบื้องหน้าที่รอผมอยู่
วันศุกร์ตอนเย็นๆ หลังจากรับเสื้อผ้าที่ต้องใส่ขึ้นดอยในวันถัดไปแล้ว (ก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่ๆ ถึงได้แจกแบบไม่ให้ได้ซักทุกที หรือเค้ากลัวว่าเสื้อจะหายก่อนถึงเวลาจริงเนี่ย?) เบน (ขอให้จินตนาการถึงปลากระเบนตัวดำๆ ที่อาศัยใต้ทะเลลึก พูดภาษาจาเหนือในสำเนียงเหน่อใต้ และมีความเบี่ยงเบนในจิตใจอย่างมากมายมหาศาล - เฮ้ยไอ่เบน อย่าโกรธกันนะเฟ้ย ข้าพูดแต่ความจริงทั้งนั้นแหละ อิอิ) ก็ได้ชวนผมให้นอนที่ห้องชมรมหมากล้อม แต่ถ้าผมนอนกะมันสองต่อสองจะเกิดอะไรบ้างก็มิอาจรู้ได้ จึงต้องชวนเพื่อนๆ ในชมรมให้อยู่ค้างด้วยกัน (ไม่งั้นไม่ปลอดภัย) แต่ก่อนหน้าที่จะไปค้างชมรมนั้น ก็เป็นเวลาตระเวนส่งผู้หญิงกลับหอ สำหรับฮันนี่ (แฟนขลุ่ย) ก็ถูกส่งกลับหอ 4.5 (พอดีจำไม่ได้ว่าหอไหน เลยเอา 1+8 แล้วหาร 2 อะ ^^") อย่างเรียบร้อยปลอดภัยสวัสดิภาพ (โดยมีการร่ำลาที่เสียเวลาอย่างไม่น่าเชื่อด้วย) แล้วก็ออกไปส่งฝ้ายผู้ซึ่งไม่ได้อยู่หอในอันปิดสี่ทุ่มตอนสี่ทุ่มพอดี (ประโยคปราบเซียน ใครอ่านแล้วไม่งงมั่ง 555+) เสร็จแล้วก็กลับมาอาบน้ำหอชายและออกไปค้างที่ห้องชมรมกีฬาในร่มกัน
พอไปถึงชมรมตอนเที่ยงคืนเพราะผิดแผนเนื่องจากไปส่งผู้หญิงนาน ก็เลยตกลงกันได้ว่าจะไม่นอนเพราะพี่นัดตอนตีสาม เลยนั่งเล่นโกะกับเบนและฮ่องเต้ฆ่าเวลาไปครึ่งชั่วยาม แล้วพวกนั้นก็นั่งเล่น Risk กันต่อโดยเราขอตัวไปอ่านหนังสือ (ที่จริงแล้วไม่อยากเล่น เพราะไซโคสนุกกว่า) พอผ่านไปได้ 20 นาทีเราเลยเข้าไปถือหางช่วยแก๊ป หลังจากไซโคได้ที่แล้วก็ชิ่งหนีมาดูอาณาจักรอื่นล่มสลาย แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเผด็จศึกได้ในทันที โชคยังดีที่ไม่โดนตีกลับและช่วงชิงชัยชนะมาได้ พอเกมจบก็หมดเวลาแล้วต้องไปเข้าแถวเตรียมตัว แต่ไหงถึงไปสายได้ก็ไม่รู้สินะ...
พอจัดแถวผู้ชายเสร็จก็เดินไปรับผู้หญิงตามหอต่างๆ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เหนื่อยหยั่งนี้นะ รับเสร็จหมดก็ไปต่อที่ศาลาธรรม แล้วก็นั่งกินข้าวเช้าอันได้แก่กะเพรา เฮ้อ... ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีโรคไม่อยากกินเผ็ดก็ไม่หาย สุดท้ายก็จำใจกินเข้าไปจนหมด แล้วก็หลับรอเวลาขึ้นดอยเพราะไม่ได้หลับมาทั้งคืน แต่แล้วอยู่ๆ ท้องก็ปวดอย่างรุนแรงขึ้นมา (effect จากกะเพรางั้นหรือนี่!) เลยรีบวิ่งไปหาห้องน้ำหลังศาลาธรรม แต่โอโหแม่เจ้า คนมากมายมหาศาลรอกันเป็นวันเลยมั้งนั่นกว่าจะได้เข้า จึงต้องจำใจวิ่งกลับไปอมช. (ชั้นบนของห้องชมรม) เพื่อเข้าห้องน้ำ!! ระยะทางก็ประมาณกิโลกว่าๆ เห็นจะได้ แต่ตอนนั้นขามันสั่งให้วิ่งไปอย่างเดียวแล้วอะ ผลปรากฏว่าท้องเสียอย่างหนัก (ขอสงนคำบรรยายเชิงลึกบนหน้าเว็บไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ) กลับมาเลยซัดน้ำเกลือไป 1 ขวด โชคดีที่ไม่เป็นไรมากเลยขึ้นดอยไหวอยู่ (เดินไปกับแถวพยาบาลพอไหว ไม่ถึงขั้นต้องพึ่งรถพยาบาลไปแฮะ)
และแล้วระยะทางสุดโหดอันแสนยาวนานก็ได้เริ่มขึ้น ช่วงเช้านั้นตอนที่ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางอยู่ๆ แรงก็หมด (แน่หละสิ น้ำเกลือขวดเดียวจะไปพอได้ไง) แต่จะออกจากแถวตอนนั้นก็ไม่ได้อีกเพราะวิท'ลัยสื่อจะแซงพอดี พี่ๆ เลยสั่งวิ่งห้ามโดนแซง โอโหแรงฮึดมาจากไหนไม่รู้ วิ่งไปอย่างไร้สติจนแถวหยุด รู้ตัวอีกทีก็เดินแทบไม่ได้เอาซะแล้ว โชคยังดีที่ร้อยเมตรหน้าเป็นจุดพักกินอาหารพอดี เลยซัดน้ำอัดลมกระป๋องไปสองพร้อมกับสปอนเซอร์อีกหนึ่ง นั่งพักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มหายดี ทีนี้ห้ากิโลสุดท้ายเลยได้เดินในแถวปรกติ แล้วเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นที่สองกิโลเมตรก่อนถึงพระธาตุ คือสตาปวิ่งที่ไม่ยอมให้พวกเรายิ้มซักนิดกลับปล่อยมุกฝืด แป๊ก ควายอย่าง "เดินดีๆ ระวังสะดุดหัวใจพี่นะน้อง" ออกมาซะงั้น!!! สงสัยเพราะเพราะใกล้ถึงยอดดอยเลยมีปล่อยให้น้องหัวเราะมั่งซะงั้น แต่ก็ดีแล้วเพราะบรรยากาศที่เครียด มึน เหนื่อยก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง และแล้วโค้งสปีริตก็มาอยู่เบื้องหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว โค้งนี้กะประมาณจากสายตาแล้วคงได้ซัก 300-500 เมตรได้ แถมทางขึ้นเขายังชันเป็นว่าเล่นอีก แต่ถ้าเทียบๆ ดูกับรด.ที่เคยผ่านมาแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรยาก แล้วทำไมคนทั้งหลายถึงได้กลัวกันนักหนาหละ คำตอบก็ง่ายๆ คือขึ้นไปคนเดียวไม่ได้ เพื่อนรอบกายที่อยู่เคียงข้างต้องขึ้นไปด้วยกันให้หมด แล้วผู้หญิงส่วนมากก็มักจะขึ้นไม่ไหวต้องให้ผู้ชายอย่างพวกเราช่วยดึงขึ้นไปยังไงหละ นับว่าเป็นโชคดีอย่างมากมายมหาศาลที่คณะวิทย์ไม่มีผู้หญิงตัวโตเลย ทำให้พวกเราสามารถผ่านโค้งสุดโหดนี้มาได้พร้อมกันในที่สุด
หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็หันไปเห็นคุณชายวินและคุณหญิงอ้อมนั่งเคียงคู่กันอยู่ ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเลื่อนขั้นจากเพื่อนไปเป็นอีกระดับหนึ่งแล้ว ยังไงก็ขอให้โชคดีละกันเน้อ ^^ พอรวมกลุ่มเพื่อนได้เสร็จก็เดินขึ้นไปไหว้พระธาตุกัน อึ่ม... 17 กิโลที่ตอนเช้าที่เกือบเป็นลมล้มพับไปรอบนึง กับตอนบ่ายที่ต้องฉุดผู้หญิงผ่านโค้งสปีริต แต่สุดท้ายก็ไปไหวตลอดรอดฝั่งปรกติไม่เป็นอะไร (แค่เหนื่อยมากๆ เอง) แต่ไหงบันไดขั้นที่ 197 ถึงได้เจ็บเพราะตระคิวกินก็ไม่รู้ T_T สงสัยว่าแรงหมดพอดีหละมั้ง พอไปถึงพระธาตุเลยต้องนั่งพักซักหน่อยก่อนแล้วค่อยเข้าไปไหว้พระ เสียดายที่เวลาหมดอดชมวิวจากยอยดอยเลย แต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็จะกลับมาขึ้นด้วยด้วยกันอีกครั้ง สัญญากันแล้วนะ ส่วนตอนนี้ก็คงต้องขอลาแล้วหละ แล้วพบกันใหม่เมื่อถึงเวลานั้นอีก ราตรีสวัสดิ์

May 23, 2008

Ludwig van Beethoven - Piano Sonata No. 14 in C♯ minor, Op. 27, No. 2 "Moonlight"



I. Adagio sostenuto (6:00 นาที)

ท่อนที่หนึ่งอยู่ในอัตราช้าพอประมาณ และให้เล่นโน้ตยาวเกินค่าของมันเล็กน้อย การที่ท่อนแรกอยู่ในอัตราช้านั้น เป็นการฉีกแนวการแต่งเพลงโซนาตาโดยทั่วไป เพราะท่อนแรกมักจะอยู่ในจังหวะเร็วเสียส่วนมาก

และท่อนแรกนี้เอง ที่ทำให้เพลงนี้มีชื่อว่า "Moonlight" เนื่องจากกวีนามว่าเร็ลชตาบ ฟังแล้วนึกไปถึงแสงจันทร์ที่ทะเลสาบลูเซิร์น โน่น แหม... เรื่องราวมันน่าชวนฝันเสียจริงเลยครับ แต่ผมว่ามันคงเป็นฝันอันแสนเศร้านะ เพราะท่วงทำนองของเพลงนี้มันโศกเศร้าอาดูรเสียเหลือเกิน อารมณ์ประมาณคนอกหักจะขาดใจตายมองพระจันทร์ยังไงยังงั้นเลยครับ ก็น่าสงสัยว่านายเร็ลชตาบนี้เคยอกหักแล้วพร่ำเพ้อมองพระจันทร์หรืออย่างไรกัน ถึงได้บรรยายว่าเห็นแสงจันทร์ส่องออกมาซะหนิ

II. Allegretto (2:30 นาที)

ท่อนที่สองของเพลงนี้มีการเปลี่ยนบันไดเสียงเป็นดีแฟล็ตเมเจอร์ ซึ่งเป็นบันได้เสียงเอ็นฮาร์โมนิกกับบันไดเสียงซีชาร์ปเมเจอร์ ท่อนนี้อยู่ในอัตราค่อนข้างเร็วและบรรเลงต่อจากท่อนแรกโดยไม่มีการหยุดพัก

เป็นท่อนสั้นๆ ที่ฟังสบายๆ อารมณ์แตกต่างกับท่อนแรกโดยสิ้นเชิงครับ คลัายกับว่าคนอกหักคนนั้นหลับตาลงเพื่อลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่ได้ผ่านมา แล้วฝันรำลึกถึงความหลังอันสวยงามครั้งรักยังหวานชื่น ความสดใสของท่อนนี้มีมากเสียจนลิสต์เปรียบเปรยว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้เชียวครับ

III. Presto agitato (7:00 นาที)

ท่อนสุดท้ายกลับมาอยู่ในบันไดเสียงซีชาร์ปไมเนอร์ตามแบบแผนปรกติ อยู่ในอัตราเร็วมากและเร่าร้อน เนื้อหาของท่อนนี้มีมากกว่าท่อนอื่นๆ

พอเข้าท่อนสุดท้าย อารมณ์ของเพลงก็พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ เหมือนกับคนที่โกรธเป็นผืนเป็นไฟเพราะผิดหวังในความรัก หลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่ายังไงรักนี้ก็ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ก็อาละวาดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า (อันว่าความรักนี้บรรดาลให้คนทำได้ทุกอย่างจริงๆ) หลังจากอาละวาดจนหมดแรงแล้ว ก็ขอลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีสิ่งใดๆ ค้างคาใจอีก

May 11, 2008

เรื่องสั้นแนวลองทด เอกลักษณ์การคูณ

หมายเหตุ: สามารถนำโครงเรื่องไปใช้ต่อได้ตามสะดวกนะครับ

วันก่อนผมไปร้านหนังสือหวังว่าจะหาอะไรมาอ่านเล่น แต่แล้วก็กลับหาไม่ได้ซักเล่มเลย สงสัยว่าช่วงนี้อิ่มตัวกับการอ่านอยู่มั้งครับ
เดินไปเดินมาก็เห็นหนังสือของคุณวินทร์เล่มนึงชื่อ "ยาแก้สมองผูกตราควายบิน" เลยลองพลิกๆ ดู จึงได้ข้อคิดว่า ถ้ายังไม่รู้จะอ่านอะไร ก็เขียนซะเองเลยสิ
ผมจึงค้นลิ้นชักความทรงจำของผมดูว่าเคยคิดเรื่องอะไรไว้บ้าง แล้วก็ "ทด" ลงมาไว้ให้อ่านกันครับ ถ้าถูกใจอันไหน จะหยิบไปแต่งต่อ/ดัดแปลง/เพิ่มรายละเอียดก็ไม่ว่ากันครับ
ขอให้มีความสุขกับการจินตนาารนะครับ ^^

Story:
พนักงานขายเปียโนไม่มีความสามารถทางดนตรีเลย แต่เขาก็แอบฝึกเล่นเปียโนทุกๆ วันเมื่อไม่มีลูกค้า จนวันหนึ่งตอนใกล้ปิดร้านซึ่งไม่น่ามีใครแล้ว เด็กคนหนึ่งได้ยินเสียงเปียโนที่เขาเล่น และได้สมัครตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วทั้งคู่จึงได้เริ่มเรียนเปียโนไปด้วยกัน

My Comment:
1. เรื่องราวประเภทนี้ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จพอสมควร คือเริ่มจากไม่เก่ง->มีการพัฒนา->เก่ง จึงควรหาจุดอื่นมาทดแทนความจำเจ เช่น มิติของตัวละคร
2. เนื่องจากเรื่องนี้เกียวกับดนตรี (ที่เลือกเปียโนเพราะดูแลรักษาง่ายสุด ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเครื่องเป่าสิ) จึงควรให้ความสำคัญกับดนตรีมากๆ หน่อย อาจให้ดนตรีเป็นตัวเดินเรื่องเลยยิ่งดี
3. บางทีถ้าต้องการทิ้งสูตรสำเร็จจากข้อแรกที่ว่า "ไม่เก่ง->มีการพัฒนา->เก่ง" ก็อาจทำการสลับด้าน เช่น นักดนตรีระดับโลกเกษียญตัวเองแล้วเปิดร้านดนตรีในที่ห่างไกลผู้คนรบกวน แต่แล้วโรคความจำเสื่อมก็ทำให้เค้าเล่นเปียโนฝีมือตกลงทุกวัน เค้าจึงคิดจะถ่ายทอดความรู้แก่รุ่นถัดไปให้ได้มากที่สุด

อธิบายชื่อตอน "เอกลักษณ์การคูณ"
ทางคณิตศาสตร์ เอกลักษณ์คือ การที่สมาชิกในเซตกระทำกับตัวดำเนินการและตัวเอกลักษณ์แล้ว จะได้สมาชิกตัวเดิมในเซตนั้น และต้องมีสมบัติการสลับที่ด้วย แปลงเป็นสัญลักษณ์ได้คือ a*I = a = I*a (* คือตัวดำเนินการ และ I คือเอกลักษณ์)
สำหรับตัวดำเนินการที่เป็นการคูณ จะได้ว่า ax1 = a =1xa ซึ่งหมายความว่า 1 คือเอกลักษณ์การคูณนั่นเอง
อนึ่ง ผมตั้งชื่อตอนไปตามความสนใจทางคณิตศาตร์ จึงไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใดครับ :-P

May 7, 2008

บทเพลงคลาสสิกแต่ละยุคสมัยที่ควรรู้จัก

ได้ฤกษ์เขียนบล๊อกต่อซักที หลังจากดองไว้นานโข
คราวนี้จะมาเขียนเกี่ยวกับเพลงคลาสสิกครับ ^^
จาก 3 ตอนที่แล้ว ผมลองดูว่ามีอะไรตกหล่นบ้าง
ก็พบจุดใหญ่อย่างนึงเลย คือยุคของเพลงครับ

แต่ก่อนที่จะลงรายละเอียดยิบย่อยยุคต่างๆ ต่อไปนั้น
เห็นทีจะต้องอธิบายคำว่า "เพลงคลาสสิก" ซะก่อน
(เขียนไว้กันงงกับชื่อยุคข้างล่างที่เหมือนกันครับ)

คำว่า คลาสสิก คือ สิ่งที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าดีจริง
เมื่อนำมาใช้ทางดนตรี ก็คือดนตรีที่ถูกแต่งมาอย่างดี
มีระเบียบแบบแผนในตัวมันเอง (ไม่ได้มั่วๆ ออกมา)
เพลงพวกนี้จึงไม่ตายไปตามเวลา (ของดีอยู่ได้นาน)

เมื่อรู้ความหมายของเพลงคลาสสิกแล้ว ก็มาดูยุคกันเลย

ยุคกลาง (500-1400)
บทเพลงที่เหลือบันทึกไว้มักเป็นเพลงร้องทางศาสนา
เพลงมีรูปแบบเรียบง่าย เครื่องดนตรีมีได้แค่ชนชั้นสูง
และการบันทึกเพลงไม่เป็นที่นิยม เพราะกระดาษแพง
บทเพลงชุดที่มีการรวบรวมไว้คือ บทสวดเกรกอเรียน
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น กวิโด ฮิลเดการ์ด

ยุคเรเนสซองส์ (1400-1600)
เริ่มวางรากฐานการประสานเสียงและดนตรีหลายแนว
การบันทึกโน้ตเริ่มแพร่หลาย ทำการศึกษาเพลงได้ง่าย
และเริ่มมีการแต่งเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีขึ้น
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น ปาเลสตรินา กาบริเอลี

ยุคบาโรก (1600-1760)
เป็นยุคที่เริ่มมีการวางระเบียบแบบแผนเข้าไปในเพลง
บทเพลงจึงมีเอกภาพ และการที่ศาสนจักรให้ความสำคัญ
ทำให้ดนตรีเพื่อศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในยุคนี้
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น มอนเตแวร์ดี วิวัลดี แฮนเดล บาค

ยุคคลาสสิก (1730-1820)
เป็นยุคที่กฏเกณฑ์ทางดนตรีถูกพัฒนาขึ้นมาจนสูงสุด
บทเพลงพยายามหาจุดที่ดนตรีมีความสวยงามสมบูรณ์
ช่วงนี้เพลงส่วนมากแต่งขึ้นมาเพื่อรับใช้เจ้านายในวัง
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น ไฮเดิน โมสาร์ท เบโทเฟน ชูเบิร์ต

ยุคโรแมนติกตอนต้น (1800-1850)
นักแต่งเพลงไม่ได้แต่งเพลงเพื่อถวายเจ้านายอีกแล้ว
จึงเริ่มแต่งเพลงที่ไม่จำเป็นต้องสวยงามอย่างเดียว
แต่เป็นเพลงสะท้อนอารมณ์ มีทั้งความสุขและเศร้า
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น เมนเดลโซน โชแปง ชูมันน์ ลิสต์

ยุคโรแมนติกตอนปลาย (1850-1910)
เนื่องจากยุคโรแมนติกเป็นช่วงที่บทเพลงน่าฟังมาก
จึงแบ่งได้หลายช่วง โดยช่วงนี้เป็นช่วงของชาตินิยม
เพลงทั้งหลายจึงมีกลิ่นอายของความรักชาติอยู่ด้วย
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น วากเนอร์ บรามส์ ไชคอฟสกี ซิเบลิอุส

ยุคโรแมนติกในศตวรรษที่ 20 (1910-1950)
ถึงแม้ช่วงนี้จะมีเพลงเนวใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย
แต่ยังมีนักแต่งเพลงที่ยังคงซาบซึ้งกับยุคโรแมนติกอยู่
จึงได้หาวิธีแต่งเพลงแนวโรแมนติกในรูปแบบใหม่ๆ
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น รัคมานินอฟ โฮลซต์

ยุคอิมเพรสชัน (1890-1940)
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคใหญ่ครับ เพียงแต่ผมชอบเป็นพิเศษ ^^
เพลงยุคนี้จะว่าไปก็เหมือนกับภาพแนวอิมเพรสชัน
เป็นเพลงที่มีความลึกลับ เลือนลาง ชวนค้นหา
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น เดอบุสซี ราเวล

ยุคศตวรรษที่ 20 (1900-2000)
นักแต่งเพลงปฏิวัติการแต่งเพลงเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่
เช่น นำทำนองเพลงพื้นบ้านมาดัดแปลงใส่ในบทเพลง
หรือแต่งเพลงโดยไม่อิงเสียงหลัก แต่ใช้โน้ตทั้ง 12 ตัว
คีตกวีเด่นในยุคนี้เช่น เชินแบร์ก บาร์ตอก เคจ

ทั้งหมดที่สำคัญๆ ก็มีเท่านี้หละครับ
และนี่คงเป็นบทความสุดท้ายที่เขียนพื้นฐานแล้วครับ
คราวหน้าจะพาไปฟังเพลงดีกว่า ติดตามด้วยเน้อ ^^

Mar 23, 2008

กล่อง...ของขวัญ

หายหน้าหายตาไปนานแสนนาน
กลับมาเขียนใหม่ ก็ไม่ค่อยออก
เลยไปขุดเอาไอเดียเก่ามาลงครับ

งานนี้ผมเขียนไว้นานถึง 2 ปีแล้ว
ครั้งแรกที่มันปรากฎตัวขึ้นมานั้น
เป็นแค่ไอเดียเหลือๆ ที่ล้นออก
แล้วก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น

เมื่อปีก่อน ตอนผมค้นไอเดียเก่า
ก็ได้มีการเกลาไอเดียนี้จนสมบูรณ์
แต่ก็ไม่ได้ทำจริงซักที

มาถึงวันนี้ ที่ผมได้มองย้อนกลับไป
ไม่น่าเชื่อว่า ผมจะคิดไอเดียนี้ขึ้นได้
คงถึงเวลาลับคมสมองใหม่แล้วหละ

ก่อนเข้าเรื่องก็พล่ามซะยาวอีกตามเคย
เอาเป็นว่า ไปฟังเรื่องนั้นกันเลยดีกว่า
ชื่อเรื่องคือ "กล่อง...ของขวัญ"

"นี่คือกล่องของขวัญ
ของขวัญอยู่ภายในกล่อง
กระดาษห่ออยู่ภายนอกกล่อง
การ์ดใบนี้อยู่ภายนอกล่อง
การ์ดใบนี้ไม่ใช่ของขวัญ
หากแต่โลกทั้งใบต่างหาก
ที่เป็นของขวัญ
เพราะโลกทั้งใบอยู่ในกล่อง"

จะเอาไอเดียนี้ไปใช้ห่อของขวัญ
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีตังค์
หรืออยากติดส์แตกก็ตามสบายครับ
ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ^^