... 2 ปีติด
วันนี้ตื่นสายนิดหน่อยแหละ
แต่ประเด็นองเรื่องมันไม่ได้อยู่ที่วันนี้หรอก
ประเด็นคือ เมื่อวานแอบซิ่งรถไปสุโขทัยคนเดียวต่างหาก
เมื่อวานตื่นสายนิดๆ
แล้วก็ทำโน่นนี่นั่นไปอย่างเรื่อยเปื่อย
เหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรงและกำลังจะสู้ชีวิตต่อ
พอถึงตอนเที่ยง ก็สลึมสะลือออกไปกินข้าวมือแรกของวัน
ทั้งที่หิวจะแย่ แต่ก็เริ่มกินตอนพระอาทิตย์เยื้องไปทางทิศใต้ 38°11"
แล้วทำไมต้องอารมณ์เสียสุดๆ เมื่อร้านเหลือแต่ของกินที่ไม่ชอบ
โดยไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนร้านอาหารได้
จึงจำใจนั่งกินไป กินไป
บ่ายโมงทำไม เวลาน่าจะหยุดหมุนเสียให้ได้
หรือไม่งั้นก็หมุนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
อย่างน้อย ก็ยังรู้สึกสนุกได้กับทุกเรื่อง
แต่คิดดูดีๆ เราอยู่ในกรอบอ้างอิงเดียวกับเวลานี่หว่า
เวลาอาจย้อนได้ แต่ถ้าอยู่ในกรอบเดียวกัน ก็คงไม่รู้สึกว่าย้อน
ทำใจ ทำใจ
ชีวิตที่ต้องทำใจ เดินหน้าต่อไป ยังที่ที่ไม่คิดถึง
เบื่อการเดินหน้าแล้ว
จำได้ว่าเมื่อก่อนมีความสุขกับการวิ่งมาก
วิ่งไปข้างหน้า
วิ่งหาสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝัน
วิ่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
วิ่งต่อไป
อยากกลับไปวิ่ง
แต่ทำไมเล่า เดี๋ยวนี้จึงไม่ได้ออกวิ่งซักที
ได้แต่เดินเตรดเตร่เรื่อยเปื่อยเรื่อยไป
หรือว่าจำเป็นต้องรออะไรบางอย่าง
ที่ไม่อาจละความสำคัญไปได้?
อยากหยุด
แต่สุดท้าย ก็เดินมาถึงที่หมาย
ไม่ใช่ที่หมายที่คาดคิดว่าจะต้องวิ่งมา
และพบภาพธรรมดา ที่แสนจะชาชิน
เบื้องหน้า คือหนทางอันยาวไกล
ที่ใครหลายคนฝากความหวังไว้
ซึ่งเราไม่อาจตอบตัวเองได้ว่า อยากทำมันหรือเปล่า
เบื้องหลัง คือความสวยงามฝังใจ
ที่ซึ่งเราเองแอบฝากฝันเอาไว้
และหวังว่าจะมีโอกาสย้อนเวลากลับไปยังที่นั่น
ยินดี กับพี่ๆ ผู้เก่งกล้าทั้งหลาย
ดีใจ ที่ได้พบน้องๆ น่ารักอีกครั้ง
ทั้งที่น่าจะมีแต่เรื่องให้สุขใจ
แต่ทำไม น้ำตาถึงไหลออกมาไม่รู้ตัว
บางคน ก็ทำได้แต่หนี
หนีจากความจริงอันโหดร้าย
ไปยังที่ที่ไม่มีสิ่งใดทำร้าย
หนี...
รู้ตัวอีกที พ่อโทรมาบอกว่ารถเปิดไม่ได้
ต้องฝากกุญแจอะไรซักอย่างไปด่วนเลย
นี่ถ้ามีตังค์ติดตัวซัก 100 นึงคงไม่มีปัญหา
แต่ว่าดันใช้ฟุ่มเฟือยเอง จะโทษใครได้
ไปรษณีย์ ปิดไปนานแล้ว
รถทัวร์ ไม่รับฝากของ
รถไฟ ไม่จอดสุโขทัย
เครื่องบิน ไม่บินวันนี้
ตัดสินใจทันที
ขับรถออกไป ไม่ได้คิดอะไร
หรือความจริงต้องบอกว่า
หยุดคิดมาก แล้วขับออกไปได้ซะ!
รู้สึกดี อาจฟังดูแปลก
เพราะความรู้สึก มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
อยากได้อะไร อยากทำอะไร
ก็อ้างโน่นนี่นั่น อ้างความรู้สึก
รู้สึกดี คงไม่ใช่แน่นอน
เอาเป็นว่า ขับรถแล้วหายเครียดละกัน
เร็วเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าชั่วโมงนึงถึงลำปาง
อีก 50 นาทีต่อมาก็ถึงอ.จังหวัดเถิน
และอีก 20 นาทีจะสามชั่วโมง ก็พ้นทุ่งเสลี่ยม
ถ้าเวลารวมไม่เกินสามชั่วโมง คงทำลายสถิติ
คิดได้ดังนั้น พร้อมกับคำนวนจากป้ายระยะทาง
เลยตัดสินใจเหยียบคันเร่งรีบไปให้ถึงที่หมาย
น่าประหลาดใจ
ทั้งที่ไม่น่าประหลาดใจเลย
เพราะรู้อยู่แล้วว่า การกระทำทุกอย่าง
ย่อมมีผลลัพท์ที่คาดเดาได้รอคอยอยู่แล้ว
และการที่เราได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป
ก็เพราะคาดเดาผลลัพท์นั้นไว้แล้วมิใช่หรือ?
แต่ก็น่าประหลาดใจจริงๆ
ที่ทำเวลาน้อยกว่า 3 ชั่วโมงไปถึง 8 นาที
เลยซ่อมรถเสร็จเร็ว และได้นอนเร็วในรอบหลายวัน
ก็คิดว่าทำถูกแล้ว ดีแล้ว
ที่มาช่วยแก้ไขปัญหาให้ถึงที่
ไม่ต้องวุ่นวายให้ช่างตัดระบบให้
อาจเสียงานใหญ่ ทำให้รถไม่กันขโมยอีก
แต่พอมาคิดอีกที
ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้หละ
ผลที่ออกมามันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
เพราะอย่างน้อย ก็ไม่ต้องพะวงกับเราที่เพิ่มเข้าไป
ช่างมัน คิดมากก็ปวดหัว
อาบน้ำเสร็จมุดตัวลงที่นอน
แล้วก็หลับไป หลับไป
(และมันผิดด้วยหรือ ที่ฝันว่าได้แต่งงานกับรุ่นน้องที่ปลื้มมานาน)
(จึงไม่อยากให้ฝันนั้นได้จบลงเลย แต่มันก็ส่งผลต่อมานั่นคือ)
ตื่นสายอีกจนได้
แม้ว่าจะนอนหลับมากว่า 10 ชั่วโมงแล้วก็ตาม
แต่ความอ่อนเพลียสะสมคงยังไม่หายไปได้ง่ายๆ
ในใจได้แต่คิดว่า รีบกินข้าวแล้วกลับเชียงใหม่
หลังจากนั้นจะพักผ่อนยาวให้หายเหนื่อยเลย
เพราะว่ารถซ่อมเสร็จเมื่อวานแล้ว
ขากลับเลยมีรถ 2 คัน คนขับ 2 คน และคนนั่ง 1 คน
คนนั่งแบ่งตัวไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจมานั่งคอยกำกับเรา
"ออกบ่ายสาม ถึงทุ่มนึงละกัน"
สี่ชัวโมงคงทำให้สบายใจได้ว่าไม่มีทางขับเร็ว
แต่ยังไม่ถึงครึ่งชัวโมงดีนี่สิ
รถที่ขับช้าๆ บนทางตรงๆ อย่างสุภาพเรียบร้อย
ก็เกิดอาการตกหลุมแล้วเบนออกขวาซะงั้น
นี่ถ้าเป็นคันที่มีผู้กำกับคอยนั่งสั่งการหละก็
แค่จะแซงรถข้างหน้ายังโดนบ่นแล้วบ่นอีก
แล้วไอ่ที่เบนออกขวานี่จะเหลือเหรอ!
ดีไม่ดีโดน take over พวงมาลัยซะงั้น
แต่ถ้าเป็นคันที่ไม่มีผู้กำกับนั่งไปด้วยหละ
ใช่แล้ว รถมันก็เบนไปเรื่อยๆ จนตกถนนหนะสิ
ภาพที่เห็นเหมือนมีใครไปให้ความเย็นสุดขั้วกับแร่ quartz เลย
ตอนที่รถเกือบจะตกถนนก็คิดทันอยู่นะ ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
แต่มือมันไม่ไปแล้ว ตะโกนคงไม่ได้ยิน โทรศัพท์ไม่ทันแน่
แตรกดไปก็ดังไม่ถึง กระพริบไฟใส่ไม่รู้ว่าจะมองมาหรือเปล่า
จึงทำได้แต่เพียงมองภาพรถค่อยๆ เบนลงข้างทางอย่างเชื่องช้า
บรู๊มมมม น้ำในนาข้าวกระเซ็นกระซาดสูงกว่าสามเมตรอย่างสวยงาม
ทำได้ก็เพียงแต่ชะลอจอดแล้วเข้าไปดูเหตุการณ์เท่านั้น
เวลาผ่านไปกว่าห้าชั่วโมง จึงจัดการกับซากรถเรียบร้อย
จะเรียกว่าซากก็คงไม่ถูกนัก เพราะว่าเครื่องไม่พังมันก็ยังวิ่งได้อยู่
แต่ว่าถ้าเอามาวิ่งให้ใครเห็นหละก็ คงถูกเรียกว่าซากวิ่งได้เป็แน่แท้
ขากลับคราวนี้จึงเหลือแค่ 1 คัน 1 คนขับ 2 คนนั่ง
เหมือนเกิดใหม่ กับข้าวที่ได้กินตอนเกือบสี่ทุ่ม ณ ปั้มน้ำมันเถิน
และบ้าน ที่ไม่ยอมยืดแข้งยืดขาสวมรองเท้าแล้วเดินมาหา
อย่างน้อยถ้าลดเวลาได้ซักชั่วโมงคงจะใช้เวลาขับรถกลับเท่าเดิม
"ขามาไม่มีใครแซง ขากลับไม่ได้แซงใคร" เลยจริงๆ
ปีใหม่อีกแล้วสินะ
คราวก่อนก็หวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น หลังผ่านเรื่องร้ายครั้งใหญ่
คราวนี้ซ้ำรอย ก็ไม่รู้ว่ายังจะหวังสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นอยู่หรือเปล่า
เอาเป็นว่า ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักละกัน
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็ถึงที่หมายสำเร็จอยู่ดี
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
No comments:
Post a Comment